บทความที่1 สารสำคัญหรือองค์ประกอบทางเคมีที่พบในพืชสมุนไพร
สารสำคัญหรือองค์ประกอบทางเคมีที่พบในพืชสมุนไพร
สารสำคัญที่มีฤทธิ์ในทางยาของพืชสมุนไพร มีดังนี้ (รุ่งรัตน์ เหลืองนทีเทพ;2540)
- Alkaloid เป็นสารที่มีรสขมจะมีไนโตรเจนเป็นส่วนประกอบมีคุณสมบัติเป็นด่าง เมื่อสารนี้อยู่ในรูปของเกลือ จะละลายน้ำได้ แต่ถ้าอยู่ในรูปของด่างจะละลายในตัวทำละลายไขมันได้ดี เช่น คลอโรฟอร์ม อีเธอร์ เป็นต้น ตัวอย่างของสารอัลคาลอยด์ ได้แก่ Atropine จากต้นลำโพงมีฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ใชผสมในยาแก้ปวดท้อง
- Glycoside เป็นสารประกอบ ซึ่งแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นน้ำตาลและส่วนที่ไม่ใช้น้ำตาล การที่มีน้ำตาลมาเกาะนั้นทำให้สารนี้สามารถที่จะละลายน้ำได้ดีขึ้นในส่วนที่ไม่ใช้น้ำตาลเป็นสารพวกอินทรีย์เคมี ซึ่งจะมีสูตรโครงสร้างและฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่แตกต่างกันออกไป เช่น Steroid หรือ triterpene จะมีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบ หรือขยายหลอดลม
- Essential Oil เป็นสารที่มีกลิ่นหอมเป็นส่วนผสมของสารเคมีหลายชนิด ประเภท trepene มักมีฤทธิ์ในการขับลม มีหลายชนิดที่ใช้ในการปรุงแต่งกลิ่นยา ใช้สำหรับแต่งกลิ่นของอาหาร และบางชนิดสามารถนำมาใช้ฆ่าเชื่อแบคทีเรีย
- Tannin เป็นสารที่พบได้ในพืชทั่วไป มีรสฝาด มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ สามารถที่จะตกตะกอนโปรตีนได้เมื่อถูกกับเกลือคลอไรด์ของเหล็กให้สีขาว,น้ำเงินหรือดำ เนื่องจากรสฝาดของสารนี้เอง จึงนำมาใช้บรรเทาอาการท้องร่วงและฆ่าเชื่อแบคทีเรีย
5. Gum เป็นของเหนียวที่อาจพบในพืชบางชนิด โดยเมื่อทำการกรีดหรือทำให้พืชนั้นเป็น แผล มีเพียงไม่กี่ชนิดที่ใช้ในทางยา
6. Latex เป็นยางมีสีขาว คล้ายน้ำนม ประกอบไปด้วยแป้งกับเรซิน และสารอื่นๆ บาง ชนิดมีสารเคมีเมื่อร่วมกับสารบางอย่างอาจก่อให้เกิดมะเร็ง (Co-Carcinogen) เรียกว่า Phorbol
- 7. Steriod เป็นสารประกอบในพืช สามารถละลายได้ดีในไขมันหรือตัวทำละลายที่ละลายไขมัน จะได้สารบางตัวซึ่งใช้เป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์ยาด้านการอักเสบ
- 8. Saponin เป็นสารประเภทไกลโคไซด์ (glycoside) อาจเป็น steroid หรือ triterpene ซึ่งสารนี้มีคุณสมบัติที่ทำให้เม็ดเลือดแดงแตก
- 9. Flavonoid เป็นสารประกอบของคาร์บอนและออกซิเจน มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่แตกต่างกัน เช่น ลดการอักเสบ ขยายหลอดลม ทำให้มดลูกคล้ายตัว และฆ่าเชื่อแบคทีเรีย
- 10. Cyanogenic glycoside เป็นสารเคมีที่อยู่ในพืช โดยเมื่อถูกย่อยด้วยเอนไซม์แล้วจะเกิดปฎิกิริยาทางเคมีทำให้ได้ไซยาไนด์ซึ่งเป็นพิษต่อร่างกาย เนื่องจากจะไปแย่งจับเม็ดเลือดแดงทำให้เม็ดเลือดแดงไม่สามารถจับกับออกซิเจนได้ แต่สารพวกนี้จะถูกทำลายได้ง่ายโดยความร้อน
- 11. Anthraquinone สารกลุ่มนี้มีฤทธิ์เป็นยาระบาย โดยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ ตัวอย่างของแอนทราควิโนนได้แก่ emodin, aloe-emodin, rhein, sennosides เป็นต้น
(รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล;2542 )
- 12. Coumarin พบได้ในพืชหลายวงศ์ เช่น วงศ์ Aplaceae, Rutaceae, Solanaceae เป็นต้น คูมารินมีหลายชนิด และมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่แตกต่างกัน ตัวอย่างสารได้แก่ bergaptenw ได้แก่ คึ่นไช่ มีฤทธิ์ป้องกันแสงแดด khellin จากเทียนเยาวพาณี เทียนข้าวเปลือก เทียนตาตั้กแตน มีฤทธิ์คล้ายกล้ามเนื้อเรียบ
- 13. Glucosilinates สารพฤกษเคมีในกลุ่มกลูโคซิลิเนทนี้ มีฤทธิ์ทำให้เกิดอาการระคายเคืองที่ผิวหนังรวมทั้งทำให้อักเสบ บวมแดง และเป็นตุ่มพุพอง แต่ถ้าใช้ขนาดอย่างเหมาะสมก็สามารถใช้ทำเป็นยาพอก สำหรับพอกแก้ปวดและแก้คัน ตามบริเวณข้อต่อต่างๆ ของร่างกายร่วมทั้งยังช่วยให้โลหิตหมุนเวียนมาเลี้ยงบริเวณที่มีปัญหาได้ดีขึ้น
- 14. Proanthocyanins สารกลุ่มนี้มีสูตรโครงสร้างทางเคมีใกล้เคียงกับสารเคมีจำพวกเทนนิน (tannins) และฟลาโวนอยด์ (flavonoids) ส่วนใหญ่เป็นสร้างประกอบของเม็ดสี (pigments) มีฤทธิ์เป็นสารต้านการอ๊อกซิเดชั่น (antioxidant) ที่รุนแรง รวมทั้งต้านการเกิดขยะอนูมูลอิสระด้วย
- 15. Phenols สารเคมีในกลุ่มฟีนอลนี้เป็นกลุ่มใหญ่ ซึ่งมีสูตรโครงสร้างที่แตกต่างกันออกไปได้หลากหลาย ตั้งแต่สูตรโครงสร้างขนาดเล็กไปจนถึงโมเลกุลขนาดใหญ่ โดยปกติแล้วสารในพวกฟีนอลมีสรรพคุณเป็นยาบรรเทาการอักเสบ มีฤทธิ์ทำลายเชื้อ ต้านการเกิดออกซิเดชั่น (antioxidant) ที่ดี และต้านไวรัสได้ด้วย
- 16. Polysaccharides พบได้ในพืชทุกชนิด เป็นน้ำตาลโมเลกุลใหญ่ ซึ่งเกิดจากน้ำตาลโมเลกุลเล็กมาต่อเรียงกันที่พบเห็นในพืชได้แก่ สารเมือก (mucilages) และกัมส์ (gums) มีลักษณะเหนียวข้นเหมือนเจลลีมีคุณสมบัติบรรเทาอาการแพ้ ตามผิวหนัง
- 17. สารขม (Bitters) เป็นสารเคมีที่มีรสขม มีสูตรโครงสร้างทางเคมีที่แตกต่างกันออกไป แต่มีคุณสมบัติที่เหมือนกันคือมีรสขม ความขมนี้มีฤทธิ์กระตุ้นให้น้ำลายหลั่งออกมาได้ ทำให้เพิ่มความอยากอาหารและเร่งการทำงานของระบบย่อยอาหาร
เมื่อทราบดังนี้แล้วจะเห็นว่าว่านและสมุนไพลนั้นมีทั้งคุณและโทษดังนั้นการจะนำมากินหรือบริโภคต้องเป็นไปอย่างระมัดระวัง โบราณนั้นท่านมีเคล็ดในการใช้สมุนไพลที่มีพิษให้เกิดประโยชน์ได้ โดยผ่านกระบวนการที่เรียกว่า สะตุ หรือ ประสะ ดังนั้นจึงควรเรียนรู้ให้ดี ก่อนจะทดลองตามความเชื่อแต่เพียงอย่างเดียว
ขอบคุณครับ ..